Sunday 23 November 2008

http://aspirationlaw.blogspot.com/

http://aspirationlaw.blogspot.com/


ตอนนี้เขามีแบบประเมินใหม่ แต่ก่อนงานที่เคยทำก็รวมมิตรไปหมด ยิ่งบางอันไม่ได้เห็นได้จับได้เดินทางไปด้วยหรือได้ทำเอง เพราะว่าเขาไม่ได้assign มา เพราะเหตุด้วยความสะดวกหลายเรื่อง ก็เป็นอันว่า ไม่อยู่ในเหตุการณ์จริง ไม่สามารถเรียนรู้ได้ บางอย่างไม่จับไม่ทำนานๆ สงสัยจะลืมไปหมดแล้ว ไม่รู้เขาทำยังไงบ้าง เพราะแบ่งงานความรับผิดชอบกันไปเป็นเรื่องราวจริงจังประมาณไม่ถึง1เดือน ไม่เหมือนตอนที่ประเมินแบบเก่าๆ คนรับassighมา ต้องรีบกระจายงานออกไปให้ช่วยกันทำไป ทำไม่ได้ไม่ทัน เขาก็ทำเองดีกว่า เพราะงานเอกสารต้องใช้ทักษะพิเศษ สำหรับเราไม่ค่อยถนัด สงสัยสมองเสื่อมและมือไม้ง่อยไปมาก แต่ได้ฝึกงานต่างประเทศเพลิดเพลินไปเหมือนกัน งุนงงไปแท้ๆกับศัพท์เฉพาะทาง อ่านคู่มือการประเมินแบบใหม่แล้วก็ไม่รู้จะเขียนอะไร งานวิชาชีพพวกรัฐศาสตร์การทูตการปกครองก็แปลกเพราะเป็นวิชาชีพที่ไม่ต้องมี พระราชบัญญัติมาควบคุมจริยธรรมอะไรพิเศษอาจจะมีก็ได้ในระดับผู้บริหารแต่ระ ดับปฎิบัติการ จบวิชาชีพบริหารหรือบัญชีหรือสารพัด สามารถจัดประสาน ฝึก เป็นวิทยากร บ้าง อบรมสั่งสอนใช้ภาษาต่างด้าวได้เคยผ่านร้อนหนาวในดินแดนอื่นนอกเมืองเรามาก็ เอามาทำแล้ว บางพวกยังไม่มีวุฒิอะไรการันตีเลยแต่ประสบการณ์แน่นปึกช่วยกันในหมู่เหล่า เอาตัวรอดไปได้ แต่ผู้บริหารระดับสูงก็ช่วยกันปลุกปั้นน่าดู ไม่ให้เสียหน้าตา องค์กรมืออาชีพ
รับโล่รางวัลมามากต้องรักษาหน้าตาองค์กรเอาไว้ สุดความสามารถ เพราะวิสัยทัศน์จะโกอินเตอร์แล้ว สู้ตาย!!
ความ ที่ไม่ได้ทำให้คนตายมากๆโดยอาชีพเฉพาะอย่างอาชีพวิศวะหรือแพทย์หรือทนาย พวกอาชีพทางกฎหมายการปกครองบางพวกถ้าไม่หวังดีทำได้ก็คือการปลุกระดมเกิดการ เมืองปั่นป่วนทั่งภายในภายนอก หรือระหว่างประเทศยุ่งเหยิง พลอยทำให้โลกเขาวุ่นไปด้วย เศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศก็ห่วย ความที่เครดิตเสียหาย เพราะไม่เอาหรอกสามัคคี แพ้ชนะไม่มี บางประเทศคนที่ทะเลาะกันจะตายพอเลือกรู้ผลแพ้ชนะ ยังสนับสนุนกัน ทำงานด้วยกันก็ได้ เอาประโยชน์สุขของประเทศเป็นใหญ่ บ้านเมืองกำลังคับขัน

ความ ที่มีประสบการณ์วิชาชีพอื่นมาทำงานต่างประเทศ สามารถด้านภาษาอยู่บ้าง แต่บางทีอ่านหนังสือที่ส่งมาจากกระทรวงนานาชาติ เขาจะพิมพต่างด้าวผสมผเสมาเลย เป็นศัพท์เฉพาะทาง เวรกรรม ไม่ได้เรียนศัพท์ทางการทูตมานี่หว่า คนเก่าๆบอกว่า เอาแต่เนื้อหาที่เกี่ยวกับงานขององค์กรเรามาใช้ แต่การที่เราไม่รู้รอบทิศ อ่านไม่รู้เรื่องแบบรวมๆ จะทำให้เขาดูถูกองค์กรของเราได้ จำเป็นต้องขวนขวายหาความรู้ เอาเองตามหนังสืออินเตอร์เนท เพราะเวลาเขาอบรมวิเทศสัมพันธ์กันหรือประชุมนานาชาติกันก็ไม่เคยได้ไปกับเขา ความที่เราก็ขี้เกียจ ติดบ้านด้วยอีกทั้งcareer path ตอนที่บรรจุมหาบัณฑิตเข้ามาในองค์กรก็ไม่มีเส้นทางความก้าวหน้าอะไรชัดเจน กว่าคนเก่าๆที่ไม่ได้เป็นมหาบัณฑิตแต่ประสบการณ์อายุงานมากกว่า พวกผู้บังคับบัญชาจะรีบผลักดันคนพวกนี้ให้ไปสู่แท่งของผู้บริหารก่อนพวกที่ มีวุฒิสูงกว่าแต่มาทีหลัง ก็เป็นเทคนิคพิเศษอย่างหนึ่ง ทำให้วุฒิมหาบัญฑิตหรือspecialist รับเข้ามาไม่ได้ใช้ประโยชน์ เพราะโดนบล็อคเกี่ยวกับการติดอยู่แค่แท่งปฎิบัติการ หมดสิทธิไปร่วมรับฟังข้อมูลก่อนมาเป็นนโยบายมาเป็นระเบียบ ตัวแทนระดับปฎิบัติไม่ได้ไปออกความเห็น กลายเป็นการรวบอำนาจเผด็จการเบ็ดเสร็จไปก็เป็นได้ บางท่านผู้นำ ผ้บริหาร เก่าๆ ที่บางทีไม่รู้จะเอาวิสัยทัศน์ อะไรใหม่ๆไปสร้างสรรค์งานได้ ต้องอาศัยมาหาอ่านหาถกกันกับกระบอกเสียงของผู้ปฎิบัติการทั้งหลายที่กฎหมาย ข้อมูลข่าวสารพยายามให้มีช่องทาง ให้เปิดกว้างเสนอแนะร้องเรียนกันให้มากๆ การบริหารจัดการที่เหมาะสมจึงจะแก้ไขได้ถูกต้องตรงประเด็น กว่าจะรับรู้รับทราบประเด็นถกเถียงในที่ประชุมผู้บริหาร กลายเป็นระดับปฎิบัติการหรือชุมชนโดยรวมเสียประโยชน์ไปแล้วก็มี ยิ่งเรื่องเกี่ยวกับเงินทอง ยิ่งให้ประโยชนตนเองและพวกพ้องก่อน ก็กล่าวหากันไป
เวลาไปอบรมพิเศษอะไรที่เกี่ยวด้วยสายงานที่ต้องทำงาน ด้านต่างประเทศ คนที่ไปก็ไปซ้ำๆไม่งั้น ไม่มีอะไรมาเขียนในประเมินตนเอง หรือไม่ก็คนที่ไม่สบายไปพักผ่อนอะไรอย่างนี้ เสียดายบางคนไม่สบายก็เป็นอัจฉริยะด้านรัฐศาสตร์แต่ไม่สบายเสียนี่ กลุ้มแทน คนที่ไปด้วยร่วมด้วยก็กลัวกันไป กลัวมีคดีอาญา หากทำคนป่วยให้มีการก้าวร้าวขึ้นมา

ดังนั้นเลยต้องอาศัยองค์ความรู้ เก่าและประสบการณ์โชกโชนในชีวิตมาประยุกต์แสดงความคิดเห็นแบบองค์รวมไป ในเรื่องข้อคิดเห็นส่วนตัวต่างๆ ไม่ผูกพันกับองค์กร ส่วนที่ผู้บริหารหรือผู้มีอำนาจตัดสินใจจะเอาไปประยุกต์ใช้อย่างไรก็ไม่ว่า กันว่าลอกเลียนความคิดไปใช้ เพราะว่าหากทำให้เกิดประโยชน์กับส่วนรวมคือประชาชนเราไม่ว่ากัน ไม่ใช่ว่าเพื่อองค์กรใดหรือกลุ่มบุคคลใดหรือเพื่อประโยชน์ในตำแหน่งของตนเอง เท่านั้นเราก็ขอสาปแช่งให้รับโทษทางอาญาและไม่เจริญโดยเร็ว ดังนั้นความรู้ที่ชอบๆบางอย่างจะถนัดโดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับจิตวิทยาความ สัมพันธ์ และประสบการณ์งานด้านกฏหมายคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ตามความต้องการการผลักดันและเตรียมความพร้อมของคนและองค์กรตามประสงค์ของ องค์กรระหว่างประเทศ และกรอบความร่วมมือทั้งหลาย ส่วนเรื่องการบริหารการเงินงบประมาณแบบยักยอกเงินเข้ากระเป๋าตนเองหรือ องค์กรนั้นทำไม่เป็นอย่างที่บางคนถูกกล่าวหาว่าทำกัน เพราะประสบการณ์งานพัฒนาชุมชน กับการเป็นนักจิตวิทยาและนักกฏหมาย มันไม่เห็นจะเอามาทำอะไรได้ตรงๆกับงานต่างประเทศ เลย ส่วนมากเอามาประยุกต์ใช้เอาทั้งนั้น เพราะงานหลักของการต่างประเทศ เน้นสัมพันธไมตรีอันดี เราก็รักกันดีกับทุกประเทศนั่นแหละ ถ้าเอาประโยชน์ของความร่วมมือเป็นหลัก ไม่เอาประโยชน์ส่วนตน งานเขียนโครงการเพื่อให้ได้เงินจากรัฐและเอกชนมาทำกันเอง ถ้าต้องการประหยัด ก็ไม่ต้องจ้างพวกบริษัทรับเขียนรับปรึกษา รับเหมาเอกชนเหมือนต่างประเทศเขา ไม่ต้องไปลงทุนจ้างคนจบสูงจบนอกมาทำงาน จ้างคนใหม่แบบผู้เชี่ยวชาญก็แพง เปลือง ยิ่งถ้าเป็นพวกบางองค์กรที่มีการทุจริตคอรัปชั่นเป็นกระบวนการละก็ จัดสรรทันที ปันประโยชน์ให้องค์กร พวกพ้อง เพราะฉะนั้น ต้องลดต้นทุน ให้ต่ำ บางองค์กรระดับอินเตอร์ คนที่เคยทำงานด้วยในพื้นที่ก็เห็นบางคนดัดแปลงโครงการเก่าๆ มาใส่ขวดใหม่กันมาก ยิ่งภาษาต่างด้าว ต้องมีสต็อคเอาไว้ในไฟล์หรือฐานข้อมูลเคลื่อนที่ส่วนตัวเยอะๆ ก็คงเป็นเรื่องกล่าวหากันทั้งเพ ถ้าจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน

สมัยใหม่ยุค ข้อมูลข่าวสารไร้พรมแดนบางทีก็แย่ งานเสนอต่างๆแบบใหม่ คิดใหม่ แค่คิด ยังลอกเลียนแบบไปใช้หมดจดก็มี ที่จะอ้างอิงให้เครดิตกันทีหลัง หายาก ในต่างประเทศเขาคิดค่าเสียหายกันแพง ถ้ามีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญากัน ถึงขนาดต้องทำโปรแกรมไล่กวดพวกที่ชอบเอาบางท่อนบางตอนบางทีเอามาหมดทั้ง โครงการหรือภาคนิพนธ์นั้นๆ มาสวมรอยในงานที่ต้องขอเอาตำแหน่ง บ้างเป็นวิทยานิพนธ์บ้าง ยิ่งโทษเป็นคดีอาญาต้องเข้าคุกด้วย เวลาละเมิดสารพัดภาษาขึ้นมา วุ่นวายกันไปหมดเป็นคดีความยืดเย้อเสียเวลา เจ้าของผลงานต้นฉบับ บางทีต้องช่วยประนอมเป็นเงินแลกกันไปก็มี ดีกว่าคนที่ละเมิดเสียตำแหน่งเสียโครงการไม่ได้เงิน ยิ่งเป็นโครงการที่ต้องข้ามน้ำข้ามแผ่นดิน ยิ่งพลาดไม่ได้เด็ดขาด และจะขออยู่ใช้เงินของโครงการให้ได้ ไม่ย้ายเด็ดขาด จะอยู่ไปชั่วนาตาปี เคยไปกี่รอบก็จะไปอีกไปแล้วไปอีก ยิ่งเป็นแผ่นดินที่เจริญค่าเงินสูงยิ่งดี มีค่าใช้สอย ค่าพาหนะ เบี้ยเลี้ยงสูง ประหยัดหน่อยก็พอมีเหลือเก็บ เพราะเป็นเงินของคนอื่น บางที่เป็นเงินภาษีของประเทศชาติก็มี เรื่องพวกนี้ ก็กล่าวหากันอยู่อย่างนั้น ผู้บริหารบางคนใช้วิธีใหม่แต่ต่อให้ใช้วิธีไล่กวดเอาข้อมูลข่าวสาร ดักจับเอกสารจากภายนอกจากต้นทางปลายทางสารพัด เพื่อจะได้สั่งการเอง ไม่ต้องกระจายอำนาจ ไม่ไว้ใจ อะไรแบบนี้ ก็อาจจะลอดหูลอดตาไปได้ เพราะสัมพันธภาพส่วนบุคคลที่มีการทำการแบบlobbyistลอบบี้ยิสต์ยังมีอยู่ กฏหมายข้อมูลข่าวสารก็มีไปงั้นเอง เสียดายเหมือนกัน บางทีเจตนาของโครงการพัฒนาเพื่อประเทศชาติทั้งหลายสมควรมีเงินจากภาครัฐ เอกชนมาอุดหนุนทุกโครงการนั่นแหละ ไม่ควรแห้วเลยแม้แต่โครงการเดียว เพราะเขียนโครงการได้ยอดเยี่ยมวรยุทธ์ไม่ต้องไปจ้างใคร เพราะคนเขียนโครงการมีประโยชน์ได้เสียกับโครงการอยู่ ไม่ได้รับจ้างภาครัฐทำเหมือนพวกประเทศทางปลายแหลมโน้น แต่ตราบใดที่ยังมีการกล่าวหาว่ามีการนำเงินภาครัฐมาหมุนบ้างยักยอกบ้างเป็น เงินส่วนตัวของ องค์กรบ้าง กลุ่มบุคคลบ้าง ส่วนตัวบ้าง บางทีเป็นโครงการที่ต้องทำงานต่างประเทศ ก็ถูกกล่าวหาว่าเขียนโครงการอยากไปเที่ยวเมืองนอกเอง เขียนบวกค่าใช้จ่ายให้มันพิสดาร เวลาไปกันจริง ไปอาศัยอยู่ที่ไหนเดินทางยังไงไม่รู้ มาทำหลักฐานเบิกเอาทีหลัง แล้วเอาส่วนต่างไว้ ฟอกเงินเป็นทรัพย์สินอย่างอื่นอะไรแบบนี้ ร้อยแปดกล่าวหากัน ถ้าเขียนให้คนอื่นไปไม่ทำเด็ดขาด บางทีหาที่มาที่ไปไม่ได้ เพราะทำหลักฐานเท็จล่วงหน้าหรือย้อนหลัง ได้หมด รวมหัวกับผู้ประกอบการบ้าง เพราะงบบางก้อนมันเป็นเงินสดให้ในนามบุคคลธรรมดาไม่ใช่เข้าบัญชีชื่อองค์กร เป็นล้านๆบาทไม่ใช่เงินผ่านบัญชีธนาคาร ตรวจไม่ได้ว่าจ่ายรับกันจริงเท่าไหร่ เอกสารการเงินที่ปลอมบ้างจริงบ้าง เขียนจำนวนเงินไปอย่างจ่ายจริงไปอย่าง ส่วนต่างก็แบ่งจัดสรรกันไป ตามอำนาจการตัดสินใจตามตำแหน่งบังคับบัญชา ไม่รู้เงินส่วนตัวหรือเงินที่ยักยอกมา มั่วไปหมด ถ้าการให้รายได้สวัสดิการอินเซนทีฟไม่ทัดเทียมกันในภาครัฐและเอกชน ก็หนีไม่พ้นข้อกล่าวหาคอรัปชั่นเป็นกระบวนการ ไม่จบไม่สิ้น การประเมินสมรรถนะแบบใหม่คงได้ผลดีๆกับเขาบ้าง ถ้าทำงานไม่ตรงกับประสบการณ์ความถนัดก็โยกย้ายลาออกกันไป เพื่อไปประกอบอาชีพให้ถูกต้องตรงตามวิถีีแห่งวิชาชีพมืออาชีพของตนไป เอวังด้วยประการฉะนี้!!!

No comments: